top of page
  • ฐณิพัชร์ มายะการ

[รีวิวปากกาหมึกซึม] Esterbrook J Double Jewel / 2556 nib


Esterbrook ปากกาครูของผู้นิยมวินเทจ

Esterbrook เป็นปากกาวินเทจที่มีอายุอยู่ในช่วงทศวรรษที่ 40 ถึง 50 หรือมีอายุราว 60-70 ปีแล้ว แต่ปากกายี่ห้อนี้ยังหาซื้อในตลาดปากกามือสองได้ง่าย ในราคาไม่แพงอีกด้วย อีกทั้งยังมีอะไหล่ต่างๆให้ซื้อหาได้อย่างครบครัน ทำให้ Esterbrook จึงกลายป็นปากกาครูของผู้ที่นิยมปากกาหมึกซึมวินเทจ ที่จะหามาศึกษา ลองเล่น หรือหัดซ่อมปากกา จนแทบกล่าวได้ว่า ผู้ที่นิยมปากกาวินเทจแทบทุกคนจะต้องมี Esterbrook J Series นี้ไว้ในครอบครองกันอย่างน้อยคนละ 1 ด้าม

สำหรับประวัติของ Esterbrook ผมจะขอทำแยกเป็นบทความอีกเรื่องหนึ่งในภายหลังก็แล้วกันนะครับ เพื่อที่บทความนี้จะได้ไม่ยาวเกินไป เนื่องจากประวัติจากหลายๆเว็บบอกว่า Esterbrook ก่อตั้งในราวปี 194x แต่ในประวัติของบริษัท Esterbrook เองบอกว่า บริษัทก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1858 โน่นเลย และยังบอกอีกด้วยว่า ประธานาธิบดีของอเมริกาในอดีตหลายต่อหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็นอับราฮัม ลินคอล์น หรือจอห์น เอฟ แคนาดี ได้ใช้ปากกายี่ห้อนี้ลงนามในเอกสารสำคัญด้วย เรื่องนี้ผมยังไม่ได้ค้นหาหลักฐานมายืนยัน เราก็ควรเชื่อตามที่บริษัทกล่าวไว้ก่อนนะครับ

Esterbrook J Series

ปากกาที่มียอดจำหน่ายสูงสุดของ Esterbrook ในช่วงทศวรรษที่ 45-50 ก็คือ ปากกาในซีรีย์ J ซึ่งเริ่มผลิตครั้งแรกในปี 1944 หรือมีอายุพอๆกับคุณปู่ของผมเลยครับ และนี่เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ผมสนใจปากการุ่นนี้ เพราะตอนนั้นผมตั้งใจว่าอยากหาปากกาหมึกซึมในช่วงอายุต่างๆมาศึกษา และก็พบว่า ปากการุ่นคุณปู่ที่มีราคาไม่แรง และหาซื้อในสภาพดีๆได้ไม่ยาก ก็มี Esterbrook นี่เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆครับ

ต้องบอกก่อนครับว่า จริงๆแล้วปากกาของ Esterbrook ที่มีรูปทรงเดียวกับ J Series เริ่มผลิตมาตั้งแต่ปี 1941 แล้ว แต่ตอนนั้นไม่ได้ใช้ชื่อรุ่นว่า J และก็ผลิตมาในระยะเวลาสั้นๆ ผมจึงไม่ได้นับรวมเป็นปากกาใน J Series นะครับ

ขนาดของปากกา

ปากกาในซีรีย์ J ของ Esterbrook นี้ นักเล่นปากกาหมึกซึมในต่างประเทศแบ่งออกเป็น 4 รุ่นด้วยกัน คือ รุ่นแรก (J Early), รุ่นเปลี่ยนผ่าน (J Transitionals), รุ่น Double Jewel ที่ผมมีอยู่ และรุ่นสีพาสเทล หากจะให้บรรยายถึงความแตกต่างของแต่ละรุ่นก็จะยาวไปนะครับ หากใครที่มีปากการุ่นนี้อยู่ แล้วสงสัยว่าปากกาของตนเป็นรุ่นไหน ลองเข้าไปเปรียบเทียบกับรูปภาพในเว็บ www.esterbrook.net จะง่ายกว่า

สำหรับ Esterbrook J Double Jewel รุ่นที่ผมนำมาทำรีวิวนี้ จะมีด้วยกัน 3 ขนาด คือ J, LJ และ SJ โดยปากกาในรุ่น J เป็นปากกาขนาดปกติ หรือที่เรียกว่าขนาด Full Size ส่วน LJ เป็นปากกาที่ผอมเพรียว หรือ Slim กว่าแต่มีความยาวเท่าๆกับปากกาในรุ่น J ขณะที่ SJ เป็นปากกาที่มีขนาดสั้นกว่าเล็กน้อย และความอ้วนของปากกาจะเท่าๆกับรุ่น LJ ครับ แต่ขนาดของปากกาทั้ง 3 รุ่นจะต่างกันไม่มากนะครับ โดยรุ่น J และ LJ ยาวกว่า SJ ในราวครึ่งเซ็นติเมตร ขณะที่รุ่น L จะอ้วนกว่า LJ และ SJ เพียงหนึ่งถึงสองมิลลิเมตรเท่านั้น เรียกว่าหากวางแยกกันแล้ว แทบจะมองไม่ออกเลยว่าเป็นปากการุ่น J, LJ หรือ SJ สำหรับปากกาของผมที่นำมาทำรีวิวนี้เป็นปากกาขนาด J ครับ

ตัวปากกา

ตัวปากกาของ Esterbrook ทำจากเซลลูลอยด์ มีให้เลือกหลายสี หลายลายเลยนะครับ สำหรับลวดลายบนตัวปากกาของ Esterbrook มีทั้งลวดลายแบบ Cracked Ice, ลายหินอ่อน และลายคล้ายๆกับเกล็ดปลา (อันนี้ผมเรียกเอง เพราะหาชื่อเรียกที่ถูกต้องไม่ได้ครับ) อยากบอกว่าสีสันของปากกาทุกแบบทุกลายสวยมากๆเลยครับ โดยเฉพาะลายที่คล้ายๆกับเกล็ดปลานั้น เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของ Esterbrook J Series เลยก็ว่าได้

สำหรับปากกาด้ามของผมเป็นตัวปากกาเซลลูลอยด์สีดำเรียบๆ คลิปด้วยสีเงิน ไม่มีลวดลายอะไร ซึ่งก็ดูสวยงามคลาสิกดีครับ ตัวปากกาที่ทำจากเซลูลอยด์แข็งแรงทนทานดีมากๆ แม้จะมีอายุ 60-70 ปีแล้ว ก็ยังไม่มีรอยแตกร้าวใดๆ ทั้งยังแทบไม่เห็นรอยขีดข่วนบนตัวปากกาอีกด้วย

ตัวปากกาของ Esterbrook J มีลักษณะเกือบจะเป็นทรงกระบอกเลย ส่วนบนของปลอกปากกา และท้ายด้ามเรียวลงเล็กน้อย หัวและท้ายปากกาตัดตรง ลักษณะคล้ายปากกาแบบ Flat Top ส่วนบนของปลอกปากกา และที่บริเวณท้ายของด้ามจะขลิบด้วยโลหะสีเงิน และมีพลาสติก (เซลลูลอยด์) สีดำเป็นเงาอยู่ที่หัวและท้ายของปากกา อันเป็นที่มาของชื่อรุ่น Double Jewel ครับ

ที่ด้ามของปากกาจะมีแกนเติมน้ำหมึกแบบ Lever Filler สีเงิน รับกับคลิปของปากกา และแถบกลางลำตัวปากกาที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก รวมๆแล้วเป็นปากกาที่ดูดีมีเสน่ห์มากจริงๆ

ปลอกปากกา

Esterbrook J มีปลอกปากกาแบบเกลียว 1 1/4 รอบ ใช้งานได้รวดเร็วทันใจดีครับ ปลอกปากกาปิดแน่นดี เมื่อนำปลอกปากกาไปเสียบท้ายด้าม ก็เสียบได้แน่นหนา ไม่ลื่นหลุดง่ายๆ และยังไม่ทำให้ปากกาเสียสมดุลด้วย

บนปลอกปากกามีคลิปสีเงิน ทำเป็นลวดลายสามแถบ ปั๊มชื่อบริษัท Esterbrook ไว้บนคลิป คลิปนี้จะไม่ค่อยเป็นสปริงนะครับ อย่าไปง้างมากนัก เดี๋ยวง้างแล้วจะไม่หุบ ผมจึงไม่แนะนำให้พกปากการุ่นนี้โดยการเหน็บด้วยคลิปครับ

การจับเขียน

Section ของ Esterbrook J เรียวเล็กลงเพียงเล็กน้อย ส่วนปลายของ Section บานออก เพื่อป้องกันนิ้วมือไถลไปโดนหัวปากกา แม้ว่า Section จะค่อนข้างสั้น จนทำให้เวลาจับปากกาเขียนจะต้องจับบนเกลียวปลอกปากกาก็ตาม แต่เกลียวของปากกาไม่คม จึงทำให้การจับถนัดมือดี

ตัวปากกาที่ทำจากเซลลูลอยด์ของ Esterbrook J มีน้ำหนักเบา ปากกามีสมดุลย์ดี สามารถใช้เขียนงานเป็นระยะเวลานานๆได้อย่างสบายๆครับ

ระบบเติมน้ำหมึก

ปากการุ่นนี้ใช้ระบบเติมน้ำหมึกแบบ Lever Filler หรือระบบคานเติมน้ำหมึก ซึ่งระบบเติมน้ำหมึกแบบนี้ก็มีพัฒนาการมาจากการเติมน้ำหมึกโดยใช้ถุง Sac ที่ต่อมาก็พัฒนากันไปเป็นระบบเติมน้ำหมึกแบบ Aeromatric รวมไปถึงระบบ Lever Filler และ Vacuum Filler ในยุคแรกๆด้วย

การเติมน้ำหมึกแบบ Lever Filler ทำโดยจุ่มหัวปากกาลงในน้ำหมึก แล้วก็ง้างคานเติมน้ำหมึกออกแล้วโยกหลายๆครั้ง คล้ายกับการเติมน้ำหมึกแบบระบบ Aeromatric แต่แทนที่จะบีบที่สูบหมึก ก็ใช้การโยกคานแทนเท่านั้นครับ ปากกาด้ามของผมมีการเปลี่ยนถุง Sac ไปใหม่แล้ว จึงโยกคานเติมน้ำหมึกได้ไม่มากนัก เนื่องจากถุง Sac ที่เปลี่ยนใหม่หนากว่าของเดิม แต่ก็ยังคงใช้งานได้ดีตามปกติ หากเป็นถุง Sac ดั้งเดิมเลยจะสามารถดึงให้คานเติมน้ำหมึกนี้ลงมาตั้งฉากกับตัวปากกาได้เลยครับ

สำหรับระบบเติมน้ำหมึกแบบนี้ จะว่าไปแล้วมีจุดด้อยมากกว่าจุดเด่นนะครับ เพราะจะไม่สามารถดูปริมาณน้ำหมึกที่เหลืออยู่ในปากกาได้ (ยกเว้นปากกาบางรุ่นที่ทำช่องมองน้ำหมึกให้) นอกจากนี้ตัวคานโยกก็อาจจะงอหรือหักได้ด้วย เวลาเติมน้ำหมึกก็ควรจะระวังให้มากหน่อยครับ จุดด้อยอีกประการก็เหมือนกับระบบเติมน้ำหมึกที่ใช้ถุง Sac ทุกแบบ คือ ถุงบรรจุน้ำหมึกอาจเสื่อมสภาพได้เมื่อเก็บไว้นานๆ

หัวปากกา

จุดเด่นของ Esterbrook J สำหรับนักนิยมปากกาวินเทจประการหนึ่ง คือ สามารถหาหัวปากกามาเปลี่ยนได้ง่าย อีกทั้งมีหัวปากกาหลายแบบหลายขนาดให้เลือกอีกด้วย สำหรับปากกาด้ามของผมเป็นหัวปากกาเบอร์ 2556 เป็นหัวปากกาที่ทำจากสแตนเลส ขนาด Fine ค่อนข้างแข็ง ไม่ Flex เหมาะสำหรับการเขียนทั่วไป หัวปากกาในรุ่นนี้ของ Esterbrook จะไม่มีลูกบอลกลมๆที่ส่วนปลายของหัวปากกา หรือที่เรียกว่า Tip นะครับ แต่จะพับส่วนปลายของหัวปากกาทำให้มีลักษณะคล้ายลูกบอลกลมๆแทน ซึ่งเป็นวิธีการผลิตหัวปากการาคาประหยัดในยุคนั้น แต่ก็จะสามารถหาซื้อหัวปากกาแบบที่ Iridium Point หรือหัวปากกาที่ทำจากทองคำมาเปลี่ยนแทนได้ แม้จะหาซื้อค่อนข้างยาก และราคาอาจจะแพงสักหน่อยครับ

หัวปากกาของ Esterbrook ถอดเปลี่ยนได้ง่ายๆ เพียงหมุนเกลียวออก โดยไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรเลย นักเล่นปากกาบางคนจะเติมน้ำหมึกโดยการถอดหัวปากกาออก แล้วใช้หลอดฉีดยาเติมน้ำหมึกเข้าทางหัวปากกาแทนการใช้คานเติมน้ำหมึก

การเขียน

บอกจริงๆว่า ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักในเรื่องการเขียนของ Esterbrook J เพราะหัวปากกาไม่มี Tip หรือ Point น่าจะเขียนแล้วมี Feedback มาก ไปจนถึงกัดกระดาษได้เลย มิหนำซ้ำผมยังเลือกหัวปากกาขนาด Fine มาอีกต่างๆ แต่พอได้ลองเขียนแล้วขอบอกว่า ประหลาดใจอย่างมากครับ!!!

หัวปากกา 2556 ของ Esterbrook ที่บอกว่าเป็นหัวปากกาขนาด Fine แต่พอเขียนแล้วลายเส้นใหญ่กว่าหัวปากกาขนาด Fine ของปากกาทางยุโรปทั่วไปนิดหน่อย น่าจะมีขนาดลายเส้นราว 0.5 มม. ต้องขอโทษด้วยที่ผมไม่ได้วัดขนาดลายเส้นที่แน่นอนให้นะครับ

การเขียนลื่นมากๆ แต่หัวปากกามี Sweet Spot แคบสักหน่อย ซึ่งก็เป็นปกติสำหรับหัวปากกาที่ไม่มี Tip ในการเขียนหากจับปากกาได้ถูกมุมดี จะเขียนลื่นแบบแทบไม่เจอ Feedback เลย แต่ถ้าจับหัวปากกาไม่ถูกมุม ก็จะเจอ Feedback มากบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่กับมุมที่จับปากกา พอเขียนแล้วเจอ Feedback ก็ขยับปากกาหน่อย เท่านี้ก็จะเขียนได้ลื่นราวกับฝันเลยทีเดียว

สรุป

Esterbrook J Series เป็นหนึ่งในปากกาที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้ที่สนใจปากกาวินเทจครับ แต่หากคิดจะซื้อมาเป็นปากกาใช้งานแบบเป็นจริงเป็นจังแล้ว ปากกาที่มีอายุอานามรุ่นคุณปู่อาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่นักนะครับ ปากการุ่นนี้ยังหาซื้อได้ในราคาตั้งแต่พันกว่าบาทไปจนถึงราวสามพันบาท แล้วแต่สภาพและร้านที่ขายด้วยครับ

ในปี 2018 ที่ผ่านมานี้ บริษัท Esterbrook ได้กลับมาผลิตปากกาหมึกซึม และเครื่องเขียนอื่นๆออกมาวางตลาดอีกครั้ง ด้วยปากกาที่ดูสวยงาม แต่ยังคงความคลาสิกไม่เสื่อมคลาย ผมจะพยายามนำรีวิวปากกา Esterbrook รุ่นใหม่ๆมาให้อ่านกันในโอกาสต่อไปนะครับ

ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการเขียนได้ราวกับฝัน

แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดี

 Write like dream: 

 

blog ที่รวบรวมบทความ และรีวิว เกี่ยวกับปากกาหมึกซึม สำหรับผู้ที่รักการเขียนทุกท่าน

 

ท่านสามารถติดตามการอัพเดทข้อมูลของ WLD ได้ทางโดยกด Like ที่ Facebook Page ของ Write Like Dream (คลิก)

 RECENT POSTS: 
 คลิกเพื่อค้นหาข้อมูล 
bottom of page